วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

HIPHOP CULTURE


Hip Hop Culture
" นิวยอร์ค" เบ้าหลอมและบ่อเกิดของวัฒนธรรมย่อยอันหลากหลาย ช่วงปี ค.ศ.1970-80 ยุคสมัยที่การเหยียดสีผิวเป็นเรื่องมันส์ปากของเศรษฐีเงินหนาปัญญาเบา
ที่ อาศัยอยู่กลางแมนฮัตตัน บริเวณรอบเกาะซึง่เป็นโครงการที่รัฐบาลอเมริกาจัดสรรให้คนผิวสีอยู่นั่น ก็เกิดวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมแบบปากกัดตีนถีบ ที่ส่งผลให้วัยรุ่นทุกชนชาติ
ทั่ว โลกในยัคปัจจุบันคลั่งไคล้ แม้แต่ลูกหลานไฮโซ(ที่ยังคงทำตัวเงินหนาปัญญาเบาเหมือนเดิม) ก็กลับมาชื่นชมหลงไหลไม่โต้แย้ง เพราะกลุ่มคนที่สร้างวัฒนธรรมที่คนขาวเคยเหยียดหยามนั้น
บัดดนี้มีราย รับมหาศาลจากการโชว์ความรู้สึกดิบๆของพวกเขาผ่านการพล่าม (Rap) ในจังหวะดนตรีไม่เกิน 120bpm.(beat/minute)โดย DJ ท่าเต้นรำที่รื่นไหลด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง
(B Boy) และการประกาศความมีตัวตนของพวกเขาไว้ตามกำแพงในที่สาธารณะ(Graffiti)

10 กว่าปีที่คนไทยเริ่มคุ้นเคยกับดนตรี Hip-Hop โดย โจอี้บอย และ Khan-T(แห่งวงไทเทเนี่ยม) วัยรุ่นไทยจำนวนนับหัวได้ที่เข้าใจที่มาของดนตรีฮิพฮอพและองค์ประกอบของ
วัฒนธรรม นี้จริงๆ ส่วนพวกที่ไม่เข้าใจก็สามารถทำตัวเป็นฮิพฮอพปลอมได้ไม่ยาก เลห่าฮิพฮอพปลอมอาจยอมลงทุนซื้อร้องเท้าคู่ละ 4000 บาท และไม่เคยรู้เลยว่ากลุ่นคนต้นกำเนิดวัฒนธรรมฮิพฮอพในย่าน
Harlem เมื่อประมาณ 20 ปีก่อนเก็บรองเท้าผ้าใบเก่าๆมาเย็บใส่แต่กลับแร๊ปได้ถึงใจคนฟัง เพราะเขาเข้าใจกำพืดตัวเอง และรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนั้นเป็นตัวตนของเขา
HipHop Culture คือ วัฒนธรรมของคนไม่มีโอกาสแต่ต้องการประกาศให้โลกรู้ว่าพวกเขามีตัวตนและชีวิต ของพวกเขามันน่าอึดอัด จนต้องบ่นพล่ามออกมา
จากความพยายามที่จะหาสิ่ง จรรโลงใจให้กับชุมชนตัวเอง การหลีกเลี่ยงจากการด่ากันจึงกลายมาเป็นการด่ากันแทน แต่ไม่ใช่การตะโกนด่ากันแบบปัญญาอ่อน
พวกเขาใช้เงินที่มีอยู่น้อยนิด ซื้อเครื่องเล่นแผ่นเสียง(Turntable) และแผ่นที่มีแต่เสียงดนตรีและจังหวะ(Beat & Instrumental Record) มาเล่น การแร็ปด่ากันแทนการฆ่าฟันแบบป่าเถื่อน
นั่นคือต้อนกำเนิดของ MC และ DJ
ต่อ มาเมื่อการ battle ด้วยการแร็ปและดีเจเริ่มเป็นที่ยอมรับกว้างขวาง เนื่องจากเป็นการประชันกันด้วยสติปัญญา ความสวยงามของดนตรี และเมื่อมีคนสนใจมากขึ้นจนกลานเป็น
กิจกรรมหลักชุมชน การเต้นรำซึ่งเป็นการแสดงความแข็งแกร่งของร่างกาย ความคล่องตัว ความยากของท่า ซึ่งเรียกการเต้นแบบนี้ว่า B Boy ก็เข้ามามีบทบาทและเพิ่มรสชาติให้ปาร์ตี้มากขึ้น
ซึ่งท่าต่างๆที่นำมา ใช้กับการผสมผสานการเต้นแบบ Break Dance และ Capoere-ศิลปะการต่อสู้และกีฬาของบราซิล จุดเริ่มต้นมาจากการเต้น Poppin' คือการเคลื่อนไหวไร้กระดูก
บังคับได้ทุกข้อต่อของร่างกายทั้งในแนวนอน และแนวตั้ง และแน่นอนเมื่อมีการแข่งขันย่อมมีการแบ่งพรรคพวก ชื่อเรียกของกลุ่มต่างๆจึงเกิดขึ้น และทุกกลุ่มก็ต้องหาทางประกาศศักดาของตัวเอง
การพ่น Tag ชื่อของกลุ่มหรือของตัวเองตามที่สาธารณะหรือที่เราเรียกว่า Graffiti จึงเกิดขึ้น
ปี 1980 ฮิพฮอพเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นและเป็นที่รู้จักกว้างขวางในหมู่คนดำผ่านการ จัดปาร์ตึ้ เมื่อเวลาผ่านไปกิจกรรมชุมชนที่พวกเขาสร้างขึ้นอย่างกว้างขวาง
พวก เขาเริ่มออกเพลงใต้ดินเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่ม และเมื่อคนขาวเริ่มสนใจและมองเห็นแนวทางธุรกิจที่อาจส่งผลกำไรจากวัฒนธรรม ย่อยนี้ได้ การเซนต์สัญญากับค่ายก็ตามมา
เจ้าของค่ายหัวการค้าจัดารดัด แปลงแต่งหน้าเค้กใหม่โดยใส่ค่านิยมแบบคนขาวลงไป สร้างสไตล์ใส่ความหรู เพื่อให้ขายได้ทั้งคนขาวและคนดำ จนกลายเป็นภาพลักษณ์แบบที่เราได้เห็นในปัจจุบัน

ช่วงนั้นที่เองที่ รูปแบบดนตรีจากคนผิวดำเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเนื่องจากเป็นของใหม่และมี เอกลักษณ์ชัดเจน เมื่อมีเพลงใหม่ๆออกมาจากค่ายใต้ดินซึ่งผ่านพัฒนาการทางดนตรี
เราจึง ได้รู้จัก R&B ซึ่งมีความละมุนละไม่กว่า การพูดระบายความรู้สึกออกมาเป็นแนวทางของเพลงบลูส์ซึ่งมีมาตั้งแต่ก้อนยุค '30s เมื่อใส่จังหวะสบายๆเข้าไปจึงได้ดนตรีที่ผ่อนคลายลงอย่าง
Rhythm & Blues ซึ่งจนทุกวันนี้ยังมีคนที่ทำแนวนี้ได้ถึงจริงๆน้อยมาก กลุ่มคนที่ฟังเพลง R&B ในยุคนั้นจะเป็นคนประเภทชีวิตต้องสู้ เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของชีวิตที่มีทางออกน้อยจนต้องปลกปล่อย
ด้วย การหาความสุขใส่ตัว ต้องการความรัก(และการร่วมรัก) มีความเป็น Pop ประกอบกันภาษาสวยงามแต่เข้าใจง่าย บอกกันแบบตรงๆว่า "ชั้นต้องการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง (ทั้งใจและกาย) กับเธอ"
บรรยายถึงท่าทางและสถานที่ชัดเจนจนเห็นภาพได้ แปรความเหงาแลความวุ่นวายในชีวิตให้ออกมาในทางกามารมณ์
ฮิ พฮอพเป็นวัฒนธรรมย่อยที่เกิดจากสลัม และฮิพฮอพคือทางออกของพวกเขา ส่วน R&B ก็เป็นเพลงอีกแนวหนึ่ง ซึ่งเป็นซับเซตของวัฒนธรรมฮิพฮอพ และช่วง 8 ปีมานี้ที่ดนตรีจากสลัม
ติดชาร์ตอันดับ 1-10 ของบิลบอร์ดมาโดยตลอด
ช่วง ปี 1990 ในประเทศอังกฤษ Trip Hop เป็นอีกแนวหนึ่งซึ่งใช้องค์ประกอบทางดนตรีบางส่วนจากฮิพฮอพ แต่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยนักดนตรีจากฝั่งอังกฤษซึ่งเป็นพวกชอบทดลอง
ทำ การผสมซาวน์แห่งความหลอนเข้าไปแล้วลากจังหวะให้ช้ายืดขึ้น ผลที่ได้คือ วงดนตรีอย่าง Mono Potichead Unkle และ Cut & Paste นอกจากความหลอนแล้ว การทำดนตรีแบบทริปฮอพจะไม่มีกฎตายตัว
สามารถใส่ loop กลองได้ตั้งแต่แบบ Drum n' Bass จนถึง Jazz Swing การใส่เสียงสแครตซ์จาก turntable ก็เป็นอีกปัจจัยความหลอน ทริปฮอพไม่ได้รวมอยู่ในวัฒนธรรมฮิพฮอพ
แต่เป็นแนวดนตรีที่น่าสนใจ แม้จะฟังดูแล้วหดหู่ แต่ก็สะใจ



About HipHop Culture

กำเนิด
สลัม ใน New York กลางยุค 70-80 ความต้องการแสดงออกถึงการมีตัวตนอยู่ในสังคมของคนกลุ่มน้อยที่เข้าไปอยู่ใน อเมริกาช่วงที่ยังมีการเหยียดสีผิวอยู่ และการทดลองผสมวัฒนธรรมเก่า (Rasta=Reggae/Jamaican Ska/Jungle Sound)
กับเครื่องดนตรีที่พอจะหาได้ในยุคนั้น

ดนตรี

Hip Hop ดนตรีที่แสดงออกถึงสภาพสังคมและความคิดของคนผิวสี พล่ามบ่นถึงชีวิตจริงและการเสียดสีสังคม MC (แร็ปเปอร์) สามารถมีได้เกิน 1 หรือ 2 เพื่อร้องเป็นแร็ปในโทนเสียงที่แตกต่างกัน
ภาพลักษณ์แบบแก๊ง สเตร์ดูรักพวกพ้องด้วยหน้าตาที่ getting hight โดยธรรมชาติ หรือไม่ก็เท่โคตร ดีเจอต้องมีความสามารถในการต่อเพลงและสแครตซ์แผ่น เพราะการแสดงของพวกเขาคือความสามารถที่เป็นจริง

R&B
ดนตรี ที่คลี่คลายมาจากฮิพฮอพ นักร้องต้องเสียงดี เซ็กซี่ เร้าอารมณ์ ภาพลักษณ์สะอาดกว่าฮิพฮอพ เป็นดนตรีที่ฟังง่ายไม่ขัดใจเวลาบิลด์อารมณ์คนรักในห้องนอน นั่นคือ R&B ในถิ่นอเมริกา
แต่ R&B จากฝั่งอังกฤษจะพูดอ้อมๆกว่า ไว้ตัวกว่า เนื่องจากมาจากรูปแบบวัฒนธรรม

Trip Hop
เป็นดนตรีแห่งความหลอกแต่แฝงไปด้วยปรัชญาชีวิต แสดงด้านมืดของความรู้สึกที่น่ากลัว
The 4 Elements
MC =>
วิธีการ - มี 2 แบบ คือ Ryhme และ Free Style
Ryhme - กลอนที่เขียนไว้แล้วและเกลาแล้ว
Free Style - การ improvise กลอนสด
สไตล์ - West Side ของอเมริกา ซึ่งจะเรียกกันว่า West Coast (แถว L.A.) ดนตรีจะเป็นดนตรีสด และภาษาสวยงาม มีความเป็นชาวบ้าน เนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตที่หดหู่เลวร้ายในสังคม
ส่วน East Side หรือ East Coast คือแถวนิวยอร์ค ดนตรีจะทันสมัยกว่าและเป็นแบบคนเมือง
สุด ท้ายคือ South Side เป็นพวกละตินอเมริกันหรือแม็กซิกัน การแร็ปจะเป็นแบบ Reggae Muffin ภาคดนตรีมีจังหวะเร็วๆ และแร็ปเร็ว เช่น Basta Ryhme หรือ Ludacris

DJ=> การค้นพบวิธิสแครตซ์ ซึ่งเป็นจังหวะที่ MC แร็ปได้ และค้นพบวิธีต่อเพลงที่เป็นสไตล์ของตัวเองโดยใช้ Turntable mix.

B Boy (Sport)=> จัดเป็นกีฬาของ culture นี้ หลักๆคือ Style และ Power Move
Style - คือท่าประยุกต์เฉพาะตัว เช่นการใช้ท่าทางของกังฟู หรือศิลปะการต่อสู้แบบอื่น เช่น Capoera
Power Move - คือท่าเจ็บตัว ท่ายากทั้งหลาย ท่าหมุนหัวหมุนหลัง

Graffiti (Art)=> เมื่อมีการแข่ง B Boy พวกเค้าก็ต้องการอุปกรณ์ตกแต่งสถานที่ จึงให้พวก Graffiti Artist มาดีไซน์แบบชื่อ club (กลุ่ม) และใช้แบบเสื้อนั้นปักหลังเสื้อยีนส์
หรือเสื้อวอร์ม เพื่อเวลาเดินไปด้วยกันจะเป็นแก๊งจะได้ดูเท่ดี และเพื่อโฆษณาตัวเอง จึงไปพ่นตามที่สาธารณะ

ปัจจุบัน
ยัง คงรูปแบบการเกิดศิลปินเหมือนเดิม และยังคงองค์ประกอบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ครบ เพียงแต่ศิลปินที่เคยเป็นฮิพฮอพตอนวัยรุ่นส่วนใหญ่จะแปลผันตัวเองมาเป็นโป รดิวส์เซอร์และ
สร้างผลงานแบบ R&B ออกมา เช่น Baby Face ก็มาโปรดิวส์ให้ TLC หรือ L.A.Reed ที่โปรดิวซ์ให้ Outkast และ R.Kelly ภาคดนตรีก็มีการพัฒนาขึ้น จากที่เคยร้องลงจังหวะ
ก็ลองร้องคล่อมดู จะเป็น double หรือ sub track ก็ได้ ส่วนของเพลงสามารถเร็วได้ถึงขึ้น Drum n' Bass แต่ร้องคล่อมให้ช้าลง เรียกว่า sub track หรือส่วนของเพลงช้ามาก
แต่ร้องคล่อมให้เร็วขึ้น เรียกว่า double การทำงานแบบนี้เรียกว่า 2 step
ส่วนองค์ประกอบทางวัฒนธรรมอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นมาคือ แฟชั่นที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย บาสเกตบอล และการฟังฮิพฮอพขับ Low Rider

Fashion (อาจจะไม่เป็นปัจจุบันนะคะ เพราะหนังสือมันนานแล้ว ^____^)
แบบ Old School (80's) รองเท้า Nike Jordan1,Puma หรือ La Gear ลิ้นใหญ่ หุ้มข้อ,Adidas Superstar ที่ยังคงใส่มาจนถึงปัจจุบัน เสื้อผ้าฟิตมา
ชุด วอร์ม Adidas ที่มีแถบข้าง 3 แถบ สารพัดสีกางเกงขาสั้นกุดแถมดึงถุงเท้าสูง รองเท้าโรลเลอร์สเกต สร้อยทองหใญ่มาก นิยมใส่ทีละหลายเส้น มีการแต่งตัวแบบสปอร์ต ใส่รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ
หรือไม่ก็แตงตัวเนี้ยบ หรู แต่ไม่เรียบ รองเท้าหนัง ผู้ชายจะไว้ผมทรงสกินเฮ็ดหรือ Afro มีหวีสับเสียบ ผู้หญิงจะเน้นทรงผมอะไรก็ได้ที่ดูแล้วเอ็กซ์ แต่ทรงผทยอดนิยมของทั้งสองเพศคือทรงถักเปียติดหัว

Low Rider
จาก ที่เล่าไปแล้วว่า culture นี้เป็นของชาวผิวสี รวมถึงพวกแม็กซิกันอเมริกัรอยู๋ด้วย พวกนี้จะเป็นประเภทไม่ชอบเหมือนใคร รักษาภาพพจน์กันสุดๆ และไม่ยอมให้ใครมาดูถูกกันง่ายๆ
พวกเขาทุ่มเงินไป กับการแต่งรถ ไลฟ์สไตล์และการแต่งตัว พวกแต่งรถชอบใช้รถ Chevys เก่าๆ หรือแม่แต่ Ford เพราะราคาถูกและปล่อยง่าย Chevys' 39 คือรถที่ทำเป็น Low Rider ได้เจ๋งที่สุด
กลางยุค 1960s เป็นช่วงที่มีการใส่ไฮโดรลิกเพื่อจะได้โหลดขึ้นเป็นความสูงแบบถูกกฎหมายเวลา เจอตำรวจ กลายเป็นของเล่นจนเกิดค่านิยมว่าใครจะทำรถโดดได้เจ๋งกว่ากัน เพื่อหา Hopping Champion
จนกลายเป็น South Central Game ในปัจจุบัน ซึ่งก็คือสนามจัดงานแข่ง แล้วก็เพราะรถมันโดดได้ เพลงเหมาะที่จะใช้ในงานแข่งจึงต้องมีจังหวะเพลง Hopping ประกอบด้วย Low Rider
เป็นรถในดวงใจเจ้าพ่อฮิพฮฮพอย่าง Dr.Dre หรือ Snoop Gogg ซึ่งก็ไม่แปลกที่ผู้ตามที่ดีขะชอบไปด้วย

Movie
หนัง เกี่ยวกับฮิพฮอพที่แนะนำให้ดูเพื่อจะได้รู้จักกันมากขึ้นคือเรื่อง Wild Style สำหรับชาว Graffiti และหนังเรื่อง Beat Street เหมือนสารคดีเกี่ยวกับ Hip Hop Culture
ส่วนเรื่อง Down Town 81 จะเห็นภาพแฟชั่นยุคนั้นชัดเจนที่สุด แต่หนังที่ชาวฮิพฮอพชอบดูมักเป็นหนังฮาๆ เกี่ยวกับ กัญชา และการแข่งขันต่างๆ เช่น แข่งรถ แข่งเต้น หรือแข่งจีบหญิง อีกประเภทก็เป็นพวกหนังผจญภัยแบบกวนส้นตีน
เช่น เรื่อง Road Trip รับรองเรื่องความฮา

Slang
"โคตรโอลส*ฮานาก้า*ลเลยว่ะ" แปลว่า ทำตัวมีสไตล์ได้ความคลาสสิกแบบชาวฮิพฮอพ
"บลิ่ง บลิ่ง" แปลว่า ระยิบระยับ หรือโดนใจมาก (จริงๆ ไม่ได้ประชด)
"แบง!!" หรือ "แดมม.." แปลว่า สวยมาก ประมาณโดนกระแทกกลางใจ มักใช้เวลาตกหลุมรัก

The Groupies
กลุ่มวัยรุ่นที่มีความเป็นตัวของตัวเองระดับหนึ่ง กล้าแต่งตัว กรุ๊ปปี้ผู้หญิงจะบูชา Snoop Dogg ด้วยความเท่และความสามารถ
แต่ ปัจจุบันตำแหน่งนักล่าเสียงกรี๊ดจากสาวกลายเป็น Eminem ส่วนผู้ชายด้วยกันเองจะเทิดทูนความเจ๋งของ Snoop Dogg เช่นกัน แต่ไปน้ำลายหกใส่ Beyonce เพราะความ blink blink ของเธอ


แถมๆ



ชื่อจริง มาร์แชลล์ บรูซ มาเทอรส์ III
ฉายา Slim Shady, Slim, Marshall Mathers, Em, Shady, Eminem
วันเกิด 17 ตุลาคม ค.ศ. 1972 (อายุ 35 ปี)
แหล่งกำเนิด ดีทรอยต์ ,มิชิแกน,สหรัฐอเมริกา
แนวเพลง ฮิปฮอป
อาชีพ นักร้อง,นักแสดง,โปรดิวเซอร์เพลง
ปี 1998-ปัจจุบัน
ค่าย Mashin' Duck, Web, Aftermath, Interscope, Shady
ส่วนเกี่ยวข้อง D12, Dr. Dre, The Alchemist, 50 Cent, Stat Quo, Bobby Creekwater, Cashis, Akon

เอ็ม มิเน็ม (Eminem, มักจะอ่านผิดเป็น อีมิเนม)[กุก็พึ่งรู้] หรือ มาร์แชลล์ บรูซ มาเทอรส์ III (Marshall Bruce Mathers III) เกิดเมื่อ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) ในเมืองเซนต์โจเซฟ รัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา นักร้องแร็ปที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ได้รับรางวัลแกรมมี 9 รางวัล ปัจจุบันอาศัยอยู่ในเขตเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน

เอ็มมิเน็มเป็นนัก ร้องที่ได้ชื่อว่ามีความสามารถ และประสบความสำเร็จสูงคนหนึ่งในวงการดนตรี ได้ชื่อว่าเป็นนักร้องที่สามารถเปลี่ยนลักษณะเสียงและทำนองเพลงหลายครั้ง ในเพลงเดียวกันได้โดยไม่เสียจังหวะการร้อง ด้วยความสำเร็จอย่างมากจากอัลบั้ม The Marshall Mathers LP ในเดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2548 เอ็มมิเน็มได้รับเสนอชื่อรับรางวัลแกรมมี 4 รางวัล รวมถึงรางวัลอัลบั้มยอดเยี่ยมประจำปี เอ็มมิเน็ม ได้ชื่อเสียงไม่ดีกับเรื่องของเนื้อเพลงที่มีเนื้อหารุนแรงและก้าวร้าว โดยเนื้อหามีการกล่าวถึง การต่อต่านผู้หญิงและกะเทย และความรุนแรงของสังคม

ปลายปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) เอ็มมิเน็มได้ออกเพลง มอช (Mosh) มีเนื้อหาเกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช


[แก้] ประวัติ
เอ็ม มิเน็มเกิดที่แคนซัส ซิตี้ หลังจากนั้น เขาต้องเดินทางระหว่างแคนซัส ซิตี้กับดีทรอยต์เป็นประจำ จนเอ็มมิเน็มกับแม่ ก็ย้ายไปอยู่ทางฝั่งตะวันออกของดีทรอยต์ เมื่อเขาอายุ 12 ปี การที่เขาย้ายโรงเรียนบ่อยทำให้เขาไม่มีเพื่อนสนิทๆ เอ็มมิเน็มเริ่มชอบเพลงแร็ปสมัยวัยรุ่น และเริ่มร้องแร็ปตอนอายุ 14 ปี หลังจากนั้น เขาก็โด่งดังในฐานะสมาชิกวง Soul Intent ต่อมาในปี 1996 เอ็มมิเน็มออกอัลบั้มของตนเอง เป็นชุดแรกชื่อว่า Infinite แต่อัลบั้มชุดนี้ถูกวิจารณ์ว่าเหมือนกับเพลงของ Nas และ AZ ทำให้เอ็มมิเน็มผิดหวัง เขาก็เริ่มทำงานชิ้นใหม่เป็นอีพีในนาม Slim Shady เป็นอัลบั้มที่มีเนื้อหาเสียดสีคนในวงการเพลง และประณามเรื่องต่าง ๆ ในชีวิต

จนกระทั่งเอ็มมิเน็มคว้าอันดับ 2 ของประเภทฟรีสไตล์ ในการแข่งขัน Rap Olympics MC ทางสถานีวิทยุในลอสแอนเจลิส ด็อกเตอร์เดรรู้สึกประทับใจในตัวเอ็มมิเน็มมาก จนต้องตามหาตัวเขา มาเซ็นสัญญากับค่ายอาฟเตอร์แม็ธของเขา แล้วร่วมงานกัน โดยเขาได้ให้เอ็มมิเน็มเอาเพลงในอีพีที่ทำในนาม Slim Shady มารวมในอัลบั้มนี้ด้วย ออกวางจำหน่ายช่วงต้นปี 1999 ด็อกเตอร์เดร ลงมาช่วยงานอัลบั้มของเอ็มมิเน็มด้วยตัวเองในเพลง My Name Is ,Guilty Conscience และ Role Model

เอ็มมิเน็มได้ร่วมงานกับด็อกเตอร์เดร ในผลงานชุด Dr. Dre 2001 อีกครั้ง ต่อมาในฤดูร้อนปี 2000 เอ็มมิเน็มก็ออกอัลบั้ม The Marshall Mathers ซึ่งทำยอดขายได้สูงถึงเกือบ 2 ล้านชุดในสัปดาห์แรก นับเป็นสถิติใหม่ของอัลบั้มเพลงแร็ป และขึ้นถึงอันดับที่ 1 ในอเมริกา

คนนี้ คนโปรดผม




ฉายา 2Pac, Makaveli
วันเกิด มิถุนายน 16 ค.ศ. 1971(1971-06-16)
วันที่เสียชีวิต 13 กันยายน ค.ศ. 1996 (อายุ 25 ปี)
แนวเพลง ฮิปฮอป
อาชีพ แร็ปเปอร์ นักแสดง นักแต่งเพลง นักเขียนบทภาพยนตร์
ปี 1990 – 1996
ค่าย Interscope, Out Da Gutta, Death Row, Makaveli, Amaru




ทู แพ็ก อมารู ชาเคอร์ (อังกฤษ: Tupac Amaru Shakur) (16 มิถุนายน ค.ศ. 1971 - 13 กันยายน ค.ศ. 1996) หรือมีอีกชื่อว่า ทูแพ็ก (2Pac) หรือ Makaveli เป็นแร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน นอกจากนั้นยังมีผลงานแสดงภาพยนตร์ เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม หนังสือกินเนสบุ๊กบันทึกไว้ว่า เป็นศิลปินแร็ปที่มียอดขายมากที่สุด ด้วยยอดขาย 75 ล้าน ชุดทั่วโลก รวมถึง 50 ล้านชุดในอเมริกา เพลงของชาเคอร์ส่วนใหญ่จะพูดถึง การโตมาท่ามกลางความรุนแรง ความยากลำบากในชุมชนสลัม การเหยียดเชื้อชาติ ปัญหาในสังคม การขัดกันเองในหมู่แร็ปเปอร์

ในช่วงแรกของเขา เขาเป็นคนยกเครื่องในวงดนตรี และเป็นแด๊นเซอร์แบ็กอัพ วงอัลเทอร์เนทีฟฮิปฮอป ที่ชื่อ Digital Underground[2][3] ผลงานชุดแรกของเขา 2Pacalypse Now ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องเนื้อหาเพลง ชาเคอร์ยังมีคดีความอยู่หลายครั้ง เขาถูกยิงถึง 5 ครั้ง และปล้นในล็อบบี้ของสตูดิโอในนิวยอร์ก และยังเป็นจุดเริ่มต้นความคัดแย้งของ อีสต์โคสต์ฮิปฮอปกับเวสต์โคสต์ฮิปฮอป

ต่อ มาเขามีคดีความละเมิดทางเพศคดีข่มขื่นอายานน่า วันที่คณะลูกขุนกำลังประกาศคำตัดสิน ทูแพ็กก็โดนยิง 5 นัด นัดหนึ่งเจาะเข้าอัณฑะ เหตุเกิดในสตูดิโอที่ ไทม์ สแควร์ แถมโดนปล้นทรัพย์สินของเขาไปด้วย เรื่องนี้ทูแพ็กได้กล่าวถึงเหตุการ์ณนี้ในหลายเพลงของเขาเช่นเพลงช่วงอินโทร ของเพลง 2 of American Most Wanted ว่า Puff Diddy กับ ไนโตริอัส บี ไอ จี อตีดสมาชิก Thug Life ของเขาเป็นผู้จุดชนวน และต่อมาธันวาคม 1994 ศาลตัดสินว่าเขามีความผิดจริง ฐานประทุษร้ายทางเพศ เขาได้รับโทษจำคุก 4 ปีครึ่ง แต่ก็จำคุกได้ 11 เดือนออกจากคุกโดยการช่วงเหลือของ Marion "Suge" Knight ซีอีโอของ Death Row Records หลังจากนั้นชาเคอร์ออกอัลบั้มสามชุดภายใต้สังกัดของ Death Row Records ส่วนอัลบั้มชุดที่ 5 ที่เป็นดับเบิลอัลบั้มแรกในประวัติศาสตร์ของวงการฮิปฮอป ที่ชื่อ All Eyez on Me

วันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1996 ชาเคอร์ถูกยิง 4 นัด โดนลอบยิ่งในลาสเวกัสโดยการโดยสารรถยนต์กลับไปยังโรงแรมหลังจากการชมการชก มวย และเขาตายหลังจากนั้น 6 วัน ฆาตกรถูกจับที่ University Medical Center[4]

ข้อมูลด้านเพลง
Studio albums
1991: 2Pacalypse Now
1993: Strictly 4 My N.I.G.G.A.Z.
1995: Me Against the World
1996: All Eyez on Me
1996: The Don Killuminati: The 7 Day Theory
Posthumous albums
1997: R U Still Down? (Remember Me)
1999: Still I Rise
2001: Until the End of Time
2002: Better Dayz
2004: Loyal to the Game
2006: Pac's Life
Collaboration albums
1994: Thug Life





ชื่อจริง คอร์โดซาร์ คาลวิน โบรดัส จูเนียร์
ชื่อเล่น สนูป ด็อกกี้ ด็อกก์
วันเกิด 20 ตุลาคม ค.ศ. 1971 (อายุ 36 ปี)
แหล่งกำเนิด ลองบีช แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
แนวเพลง West Costฮิปฮอป ,จี-ฟังก์,แก๊งกสตาร์แร็ป,ฮิปฟี,เดอร์ตีแร็ป
อาชีพ นักร้อง โปรดิวเซอร์เพลง นักแสดง
ปี 1992 – ปัจจุบัน
ค่าย Interscope
TVT
Star Trak
Geffen
Doggystyle
คอร์ โดซาร์ คาลวิน โบรดัส จูเนียร์ (อังกฤษ: Cordozar Calvin Broadus, Jr.) เกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1971 หรือเป็นที่รู้จักในนามว่า สนูป ด็อกก์ (Snoop Dogg)(ก่อนหน้านี้คือ สนูป ด็อกกี้ ด็อกก์) เป็นแร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน นักร้อง โปรดิวเซอร์เพลง นักแสดง สนูปเป็นเอ็มซีที่มีชื่อเสียงในแถบเวสต์โคสต์ และอยู่ในก๊วนเดียวกับโปรดิวเซอร์ ดร. เดร สำหรับท่อนที่เขามักร้องบ่อยๆ คือ อิซเซิล ("-izzle") ซึ่งเป็นคำแสลงที่ประดิษฐ์โดย แฟรงกี สมิธ แอนด์ เดอะ แก๊ป แบนด์ ศิลปินต้นยุค 80 และ เป็นที่รู้จักกว้างขวางโดยศิลปิน อี-40
สนูป ใช้ฉายาว่า สนูป ด็อกกี้ ด็อกก์ เมื่อเริ่มทำเพลง และเปลี่ยนเป็น สนูป ด็อก ในปี 1998 หลังจากที่ออกจากสังกัด เดธ โรว์ เรคคอร์ดส และมาเซ็นสัญญาใหม่กับ โน ลิมิท เรคคอร์ดส
ผลงานอัลบั้ม
1993: Doggystyle
1996: Tha Doggfather
1998: Da Game Is to Be Sold, Not to Be Told
1999: No Limit Top Dogg
2000: Tha Last Meal
2002: Paid tha Cost to Be da Boss
2004: R&G (Rhythm & Gangsta): The Masterpiece
2006: Tha Blue Carpet
Treatment
2008: Ego Trippin'
 
เดอะ เกมส์



เจเซน เทอแรล เทเลอร์์ (อังกฤษ: Jayceon Terrell Taylor) เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979[1] หรือรู้จักกันในนาม The Game เดอะ เกม เป็นแร็ปเปอร์สไตล์ Gangsta Rap ที่ประสบความสำเร็จในการวางขายอัลบัม The Documentary ในปี 2005 และเข้าชิง 2 รางวัลแกรมมี่ และเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในฐานะแร็ปเปอร์ที่มีปัญหาทะเลาะวิวาท (ฺbeef) ระหว่างแร็ปเปอร์อื่นๆ อีกมากมายอาทิเช่น 50 เซ็นต์ และแร็ปเปอร์ในค่าย G-Unit ที่ไม่ลงรอยกันเรื่องเจตนาของ เดอะ เกม ที่ไม่อยากจะทำงานร่วมกับ G-Unit

เดอะ เกม เกิดที่เมือง ลอสแอนเจลิส ครอบครัวของเขาได้ย้ายไปอยู่ที่เมือง Compton เมื่อเขาอายุได้ 4 ปี เขาเติบโตมาภายใต้วัฒนธรรมของเด็กแก๊งค์ จนกระทั่งอายุได้เพียง 13 ปี เขาได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกแก็งค์ บลัด (Blood)[2][3] และเมื่อเขาอายุได้ 18 ปีเขาได้ตามรอยพี่ชายของเขา "Big Fase 100" หัวหน้าแก๊งค์ Cedar Block Pirus คือถูกยิงที่ หัวใจ,ท้อง,แขนและขา ทำให้เขาต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 3 วันและระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นเขาได้คิดที่จะเป็นนักร้องมืออาชีพขึ้น
เขาได้อิทธิพลการร้องเพลง Gangsta Rap มาจากนักร้องวง N.W.A. ซึ่งเขาได้ตั้งค่ายเพลงที่ชื่อว่า The Black Wall Street ขึ้นมาและเพลงที่เขาได้ร้องใน Mix Tape เป็นที่ประทับใจของโปรดิวเซอร์ชื่อดัง Dr.Dre และได้สัญญากับค่ายเพลง Aftermath Entertainment
เดอะ เกม ได้ออกอัลบัมเพลงกับค่ายต้นสังกัดที่ชื่อว่า "The Documentary" ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในปี 2004 และมีเพลงติดอยู่บน Billboard 200 อันดับต้นๆ อยู่หลายเพลงเช่น "Hate It or Love It" "How We Do" ซึ่งได้ร่วมร้องกับ 50 เซ็นต์และขายอัลบัมได้ถึง 5 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก แต่แล้ว เดอะ เกม ก็มีปัญหากับค่าย G-Unit จึงต้องถูกไล่ออกจากค่าย G-Unit
หลังจากถูกไล่ออกจากค่าย G-Unit แล้ว เดอะ เกม ได้ตั้งสโลวแกนคว่ำบาตร G-Unit ที่มีชื่อว่า G-Unot และได้แต่งเพลงดูหมิ่น 50 เซ็นต์ไว้มากมายอาทิเช่น "300 Bars and Running" และ 50 เซ็นต์ ได้บอกกล่าวกับนิตยสาร XXL ว่าเขาเป็นคนเขียนเพลงให้เดอะเกมถึง 6 เพลง แต่เดอะเกมปฏิเสธว่า 50 เซ็นต์ช่วยเพียงแค่เล็กน้อย แล้วอ้างว่า เพลงของ 50 เซ็นต์ก็มีคนอื่นๆมาแต่งให้แต่ทำไมพวกเขาไม่เห็นอ้างแบบ 50 เซ็นต์และเดือนตุลาคม ปี 2006 เดอะ เกมได้ถูกกดดันให้ลาออกจากค่าย Aftermath Entertainment
ปี 2006 เดอะ เกมได้ออกอัลบัมใหม่ที่มีชื่อว่า "Doctor's Advocate" ซึ่งสื่อต่างๆ วิจารณ์ว่าดีกว่าอัลบัมแรกและมีเพลงติด Billboard 200 ถึง 3 เพลงอาทิ "One Blood (It's Okay) " เป็นต้น และยังได้ร่วมร้องกับแร๊ปเปอร์ชื่อดังอาทิ คานยี เวสต์ ,สนูป ด๊อก และ วิล ไอ แอม เป็นต้น
เดอะ เกมได้กล่าวกับสื่อว่า อัลบัมต่อไปของเขา (L.A.X.) จะเป็นอัลบัมสุดท้ายของเขา ซึ่งมีผลงานผลออกมาก่อนอัลบัมที่ชื่อว่า "Game's Pain" ซึ่งฮิตติดท๊อปชาร์ต UK Top 100 ในอันดับที่ 14

ผลงาน

2005: The Documentary
2006: Doctor's Advocate
2008: L.A.X.

Model ของผม Nelly เพลงโปรด Dilemma


เนลลี (อังกฤษ: Nelly) หรือมีชื่อจริงว่า คอร์เนลล์ เฮย์เนส จูเนียร์ (อังกฤษ: Cornell Haynes Jr.) เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 เป็นนักร้องแนวป็อปแร็ป จากเซนต์หลุยส์ เคยเป็นสมาชิกวงแร็ปที่ชื่อว่า St. Lunatics จากนั้นเซ็นสัญญากับค่าย Universal Records ภายใต้สังกัดยูนิเวอร์ซัล ออกผลงานเดี่ยว มาแล้ว 4 ชุด และมีเพลงอันดับ 1 บนบิลบอร์ดอยู่หลายเพลง เขายังได้รับรางวัลแกรมมี่ในปี 2003 และ 2004 เขายังมีผลงานการแสดงในภาพยนตร์สร้างใหม่เรื่อง The Longest Yard ร่วมกับ อดัม แซนด์เลอร์ และ คริส ร็อก นอกจากนี้ยังร่วมแข่งโป๊กเกอร์ในงาน World Series of Poker ปี 2007 เขายังเป็นหนึ่งในเจ้าของทีมบาสเก็ตบอล Charlotte Bobcats ร่วมกับ โรเบิร์ต แอล จอห์นสัน กับ ไมเคิล จอร์แดน

Credit: Wikipedia

ิอีกคนที่ชอบ Akon

อีกคนนึง Ne-Yo


ขออนุญาตยืมข้อความ ณที่นี้

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Window Display

สรุปสาระสาคัญ
ประเภทของการจัดแสดงสินค้า
การจัดแสดงสินค้าสามารถจัดได้หลายพื้นที่ของร้านค้า เช่น ภายในร้านค้า ภายนอกร้านค้า หรือบริเวณหน้าร้านค้าก็ได้ ร้านค้าสามารถใช้การจัดแสดงสินค้าภายในหน้าต่างโชว์ หยุดความสนใจของลูกค้าเพื่อให้เดินเข้ามาในร้านค้าใช้การจัดแสดงสินค้าภายในร้านเป็นตัวเร่งให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าเร็วขึ้นและใช้การจัดแสดงสินค้าภายนอกร้านค้าในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับร้านค้า




ประเภทของการจัดแสดงสินค้า
การจัดแสดงสินค้าสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. การจัดแสดงสินค้าในหน้าต่างโชว์หน้าร้าน ( Window Display )
การจัดแสดงสินค้าในหน้าต่างโชว์หน้าร้านถือเป็น “ ดวงตา ” ของร้านที่จะคอยดึงดูดความสนใจจากลูกค้า แบ่งได้เป็น 3 แบบคือ
1.1 หน้าต่างโชว์แบบเดียวหรือแบบแบนราบ ( Single Display ) เป็นการจัดแสดงสินค้าไว้ด้านหลังของผนังด้านหน้าของร้านค้าซึ่งเป็นกระจกแบนราบ สามารถมองเห็นได้เพียงด้านหน้าเพียงด้านเดียว
1.2 หน้าต่างโชว์แบบมุม ( Corner Display ) การจัดแสดงได้ 2 ด้าน เป็นการจัดส่วนมุมด้านหน้าของร้านค้า โดยใช้ผนังด้านหน้าและด้านข้างของร้านทามุมจัดเป็นหน้าต่างโชว์
1.3 หน้าต่างโชว์แบบแกะ ( IsIand Display ) เป็นการจัดแสดงที่เปิดโอกาสให้ผู้พบเห็นสามารถมองเห็นสินค้าได้ หากการจัดแสดงสินค้าแบบนี้ต้องมีพื้นที่กว้างขวาง
เหตุผลที่ต้องมีการจัดแสดงสินค้าในหน้าต่างโชว์หน้าร้าน
1. สร้างความสะดุดตาแก่ผู้พบเห็น ร้านค้าต้องเรียกความสนใจจากผู้พบเห็น หากสร้างความสะดุดตาแก่ผู้พบเห็นได้และรวดเร็วเพียงใดก็จะทาให้ลูกค้าเดินเข้าร้านและซื้อสินค้าในที่สุด
2. แสดงให้เห็นถึงย่านหรือบริเวณที่ทาให้ลูกค้ามุ่งซื้อมากขึ้น ปัจจุบันร้านค้าที่เราจาหน่ายสินค้าประเภทเดียวกันมักตั้งอยู่ที่เดียวกัน เช่น ร้านจาหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าวัดตึก
3. สามารถจัดสินค้าได้ตามฤดูกาล การจะเปลี่ยนแปลงการจัดแสดงสินค้าตามฤดูกาลหรือตามเทศกาลต่างๆ
หลักเบื้องต้นของการจัดแสดงสินค้าในหน้าต่างโชว์หน้าร้าน
1. วางแผนการจัดแสดงสินค้าล่วงหน้า จานวนสินค้าที่จะจัดแสดงต้องเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า
2. เน้นสินค้าที่กาลังอยู่ในความต้องการ ควรเป็นสินค้าที่มีอัตราการขายที่รวดเร็ว เลือกสินค้าที่มีสิ่งจูงใจ
3. ควรทันต่อเห็นการณ์ เช่น ตามเทศกาล ฤดูกาล แฟชั่น
4. การจัดแสดงสินค้าต้องแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติของร้านค้า จัดแสดงที่มีความเหมาะสมกับขนาดของหน้าต่างโชว์
5. ต้องเลือกสรรสินค้าที่จัดแสดงอย่างรอบคอบ บางครั้งจะเกิดปัญหาว่าจะเลือกสินค้าตัวใดมาจัดแสดง
6. ควรให้แสงสว่างอย่างพอเหมาะ ในหน้าต่างตู้โชว์ควรให้เหมาะสมกับลักษณะการจัดแสดงสินค้า
7. การรักษาความสะอาด เป็นสิ่งสาคัญทั้งการจัดแสดงสินค้า หน้าร้านหรือหน้าต่างโชว์หน้าร้าน อย่าให้มีคราบฝุ่นละอองเพราะอาจจะทาให้สินค้าเก่า
8. การจัดแสดงสินค้าในหน้าต่างตู้โชว์หน้าร้านต้องน่าสนใจและดึงดูดใจ จะต้องมีการเอาสี เอาแสงมาใช้ในการจัดแสดง
9. วัสดุที่ใช้ต้องสร้างความมั่นใจ เลือกวัสดุอุปกรณ์ประกอบให้เหมาะสมกับตัวสินค้า
10. การจัดแสดงสินค้าต้องเป็นการให้ข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าได้ทันทีที่พบเห็น สินค้าที่ต้องการการจัดแสดงควรให้เด่นกว่าสินค้าอื่น
11. การจัดแสดงต้องสร้างความประทับใจ
2. การจัดแสดงสินค้าภายในร้าน ( Interior Display )
การจัดแสดงสินค้าภายในหน้าต่างโชว์หน้าร้านที่เด่นสวยงาม สะดุดตาสามารถหยุดสายตาและเรียกร้องความสนใจของลูกค้า แบ่งได้เป็น 6 ประเภท ได้แก่
2.1 การจัดแสดงสินค้าบนเคาน์เตอร์ ( Top of Counter Display ) การจัดแสดงสินค้าบนโต๊ะ
2.2 การจัดแสดงสินค้าแบบเปิด ( Open Display ) นาสินค้าขึ้นมาขายหรือจัดวางบนโต๊ะ บนชั้นวางของ
2.3 การจัดแสดงสินค้าแบบปิด ( Closed Display ) การที่จัดวางสินค้าแบบอยู่ในเคาน์เตอร์
2.4 การจัดแสดงสินค้าบนผนัง ( Wall Display ) การวางสินค้าการใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2.5 การจัดแสดงสินค้าแบบแขวน ( Hanging Display ) การนาเอาสินค้าไปแขวนไว้กับราวหรือหมุดยึดที่แข็งแรงและแน่นหนา
2.6 การจัดแสดงสินค้าเชิงสถาปัตยกรรม ( Archeteetural Display ) เหมือนการจัดแบบสถานที่จริง เช่น การจัดห้องนอน ห้องรับแขก
ลักษณะการจัดแสดงสินค้าในหน้าต่างโชว์
1. หน้าต่างโชว์แสดงสินค้าอย่างเดียว ( One Item Window ) อาจจะเป็นสินค้าชิ้นเดียวชิ้นใหญ่จัดแสดงให้ดูสะดุดตา
2. หน้าต่างโชว์แสดงสินค้าที่สัมพันธ์กันเป็นชุด ( Related Merchandise in Theme Window ) เช่นชุดเครื่องประดับ มีนาฬิกา จี้ แหวน ต่างหู
3. หน้าต่างโชว์แสดงสินค้าที่สัมพันธ์กันต่างชุด ( Related Merchandise not in Theme Window) ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกสินค้าเครื่องเรือน ของตกแต่งบ้าน
4. หน้าต่างโชว์แสดงสินค้าตามประเภท ( Single Line of Goods Window ) เช่น จัดแสดงเครื่องเสียงโซนี่ จะมีหลายยี่ห้อของผู้ผลิตโซนี่ยี่ห้อเดียว
5. หน้าต่างโชว์สินค้าหลายประเภท ( Miscellaneous Window Display ) คือการไม่ได้เป็นผู้แทนจาหน่ายสินค้าของผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง แต่รับจาหน่ายสินค้าต่างๆจากผู้ผลิตหลายๆราย โดยเลือกสินค้าที่กาลังนิยมมาจัดแสดง
6. หน้าต่างโชว์ตามเทศกาล ( Season Window ) ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ขายสินค้าเฉพาะอย่าง เปลี่ยนแปลงปีละครั้งหรือสองครั้งแล้วแต่ความจาเป็น
7. หน้าต่างโชว์ตามวาระพิเศษ ( Special Feature Window Display ) การจัดแสดงสินค้าตามวาระพิเศษ
3. การจัดแสดงสินค้าภายนอกร้าน ( Exterior Display ) การเอาสินค้าไปจัดแสดงภายนอกร้าน เช่น งานจัดแสดงที่จัดโดยกรมส่งเสริมการส่งออก
ตอบคาถามข้อที่1.
1. ร้านที่จัดแสดงสินค้าแบบ Single Display คือ ร้านโชว์เสื้อผ้าแฟนชั่นที่ใช้หุ่นในห้างสรรพสินค้า
2. ร้านที่จัดแสดงสินค้าแบบ Corner Display คือ ร้านขายสินค้าที่เป็นเครื่องประดับเช่น พวกนาฬิกา
3. ร้านที่จัดแสดงสินค้าแบบ Island display คือ ร้านค้าภายในห้างแกนด์พาซ่า
ตอบคาถามข้อที่ 2.
1. ร้านที่จัดแสดงสินค้าบนเคาน์เตอร์ ( Top of Counter Display ) ได้แก่ ร้านจาพวกที่ขายโทรศัพท์มือถือ
2. ร้านที่จัดแสดงสินค้าแบบเปิด ( Open Display ) ได้แก่ ร้านเสื้อผ้าวัยรุ่น เสื้อผ้าแฟชั่น ในห้างสรรพสินค้า
3. ร้านที่จัดแสดงสินค้าแบบปิด ( Closed Display ) ได้แก่ ร้านที่ขายพวกเครื่องสาอางชั้นนา
4. ร้านที่จัดแสดงสินค้าบนผนัง ( Wall Display ) ได้แก่ ร้านที่จาหน่ายงานเขียน งานศิลปะ
5. ร้านที่จัดแสดงสินค้าแบบแขวน ( Hanging Display ) ได้แก่ ร้านที่พวกของตกแต่งเช่นโคมไฟ
6. ร้านที่จัดแสดงสินค้าเชิงสถาปัตยกรรม ( Archeteetural Display ) ได้แก่ ร้านที่จาหน่ายสินค้าที่ต้องยกของจริงมาไว้ในร้าน เช่น การจัดแสดงห้องนอน ห้องรับแขกเป็นต้น

ดูตัวอย่างการจัดวางหน้าร้าน แบรนด์สินค้า



"เอฟคิวแอนด์แอล" ปรับภาพลักษณ์ แบรนด์ ยกชั้นเทียบ "ซาร่า-แมงโก" เดินหน้ารีโนเวตสาขาเน้นหรูหรา ลอนช์คอลเล็กชั่นใหม่ทุกวีก หวังเพิ่มความถี่คอแฟชั่น พร้อมงัดกลยุทธ์ "เอนจอยไพรซ์" กระตุ้น พร้อมส่งแบรนด์ใหม่ "เอฟแอนด์เอ็ม" แฟชั่นยูนิเซ็กซ์เจาะกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน เผยสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัวดันตลาดแฟชั่นคึกคัก

 http://www.gandlclothing.com/92.html




ดูตัวอย่างการ designs สินค้า

 designs













ประวัติ แบรนด์ dickie

ประวัติ


Through its dedication to innovation and continual customer contact, Williamson-Dickie Mfg. Co. has transformed itself from a small bib overall company to the largest workwear manufacturer in the world. ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการติดต่อกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง Williamson - Dickie Mfg. บริษัท ที่มีการสร้างตัวเองจากการเป็น บริษัท ขนาดเล็กโดยรวมถึงผู้ผลิตเอี๊ยม workwear ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Sold in every state in the US, Dickies now offers a broad spectrum of work garments ranging from work pants and work shirts to denim jeans and women's workwear. จำหน่ายในทุกรัฐในสหรัฐอเมริกา, Dickies ตอนนี้มีที่กว้างขวางของเสื้อผ้ากางเกงทำงานตั้งแต่การทำงานและการทำงานเพื่อให้เป็นผ้ายีนส์เสื้อยืดกางเกงยีนส์และ workwear ผู้หญิง Since its beginnings in 1922, every piece of Dickies workwear has stood for the quality, toughness, and pride that embodies the spirit of the American worker. ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในปี 1922, ชิ้นส่วนของ workwear Dickies ทุกคนมีอยู่ให้มีคุณภาพความเหนียวและความภาคภูมิใจที่คาดเดาจิตวิญญาณของคนงานชาวอเมริกัน
CN Williamson and EE "Colonel" Dickie began their business careers in the "vehicle and harness" business in Bryan, Texas. CN Williamson และ ศ. "พันเอก"Dickie เริ่มการประกอบอาชีพธุรกิจของพวกเขาใน"รถและเครื่องเทียม"ธุรกิจในไบรอัน, เท็กซัส In 1918, they made what turned out to be a momentous decision when they and a few friends established the US Overall Company. ในปี 1918, พวกเขาทำสิ่งที่เปิดออกจะตัดสินใจสำคัญยิ่งเมื่อพวกเขาและเพื่อน ๆ ไม่กี่ บริษัท ที่จัดตั้งขึ้นสหรัฐโดยรวม Then, in 1922, C. Don Williamson joined with his father and cousin to buy 100% of the overall company on a one-third-each basis and renamed it Williamson-Dickie Manufacturing Company. จากนั้นในปี 1922, ซีดอน Williamson ร่วมกับพ่อและญาติของเขาให้ซื้อครบ 100% ของ บริษัท โดยรวมในหนึ่งในสาม - แต่ละพื้นฐานและเปลี่ยนชื่อเป็น Williamson - Dickie บริษัท ผู้ผลิต
From its early years, Williamson-Dickie enjoyed steady growth, slowed only by the Great Depression, and during World War II, the company was sequestered to produce millions of uniforms for the nation's armed forces. จากปีแรกของมัน Williamson - Dickie ชอบการเจริญเติบโตคงที่ชะลอตัวเท่านั้นโดย Great อาการซึมเศร้าและในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บริษัท ได้ sequestered ในการผลิตหลายล้านเครื่องแบบสำหรับกองกำลังติดอาวุธของชาติ In converting to civilian production after the war, C. Don Williamson began a strategy of geographical expansion and established new production facilities, warehouses, and sales territories throughout the United States. ในการเปลี่ยนการผลิตพลเรือนหลังสงคราม, C. Don Williamson เริ่มกลยุทธ์การขยายตัวทางภูมิศาสตร์และสถานที่ผลิตขึ้นใหม่คลังสินค้าและพื้นที่การขายทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา In the late 1950's, Williamson-Dickie became an international company by expanding into the European market and the Middle Eastern market - where Texas oilmen introduced the Dickies brand to Middle Eastern oil fields. ในปลายทศวรรษ 1950, Williamson - Dickie กลายเป็น บริษัท ต่างชาติด้วยการขยายเข้าสู่ตลาดยุโรปและตลาดตะวันออกกลาง -- กรณีที่ oilmen เท็กซัสเปิดตัวแบรนด์ Dickies ไปแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง

While Williamson-Dickie began as a bib overall company, today it has grown to be the number one manufacturer of work apparel worldwide. ในขณะที่ Williamson - Dickie เริ่มเป็น บริษัท โดยรวมเอี๊ยม, วันนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นอันดับหนึ่งผู้ผลิตเครื่องแต่งการทำงานทั่วโลก By continually expanding and updating its selection, Williamson-Dickie now offers garments ranging from its staple work pants and work shirts to items such as women's workwear, chore coats, and denim jeans. อย่างต่อเนื่องโดยการขยายและปรับปรุงการเลือกของตน Williamson - Dickie ตอนนี้มีตั้งแต่เสื้อผ้ากางเกงงานหลักและเสื้อทำงานให้กับรายการเช่น workwear ผู้หญิง, เสื้อโค้ทงานบ้านและกางเกงยีนส์เป็นผ้ายีนส์ Dickies® workwear is currently sold in all 50 states and throughout the world in countries such as South Africa, Australia, Russia, Chile, Japan, Iceland, Canada, Europe and Mexico. Dickies workwear ® มีขายอยู่ในปัจจุบันทั้งหมด 50 รัฐและทั่วโลกในประเทศต่างๆเช่น South Africa, Australia, รัสเซีย, ชิลี, ญี่ปุ่น, ไอซ์แลนด์, แคนาดา, ยุโรปและเม็กซิโก










แบรนด์สินค้า เป็นแนวทางของ ธเนศ เตียวสกุล

เสื้อผ้าแบรนด์ Dickes
การทำงาน - Dickes เป็นเสื้อผ้าสไตน์แนว hiphop เป็นที่นิยมของคนในกลุ่มทุกคน ทุกวัยในประเทศไทยนิยมใส่กันในหมู่วัยรุ่นและนักศึกษา แต่ในต่างประเทศเป็นที่นิยมทั้งวัยรุ่น เด็กนักเรียน นักศึกษา และคนทำงาน ครอบคลุมไปจนถึงแบบฟอม์ของอาชีพ แต่ละอาชีพด้วย เช่น นักดับเพลิง ตำรวจ และคนงานก่อสร้าง เป็นต้นDickesจึงมีสไตน์ที่ออกแบบให้กลุ่มคนแต่ละกลุ่มให้เหมาะสมกับการที่จะนำไปใช้งานได้จริงและทนทาน การออกแบบจึงจะดูทั้งหลักการใช้งานให้เหมาะสม
ข้อได้เปรียบ - Dickes สามารถเจาะตลาดได้ในทุกกลุ่มทั้งคนทำงาน เด็กวัยรุ่น และนักศึกษา ทั้งในเรื่องราคาที่ไม่สูงมากนัก และเนื้อผ้าที่ใช้มีความทนทานมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับในแบรนด์อื่นๆที่ทั้งราคาสูงและเนื้อผ้าที่ใช้ไม่ทนทานต่อการใช้งานมากนัก ผู้อุปโภคจึงมีกำลังทรัพย์ในการซื้อมากกว่าในทุกเพศทุกวัย
ข้อเสีย - Dickes มีดีไซด์ที่เป็นเอกลักษณ์ เรียบง่าย ไม่มีลวดลายและสีสันที่ฉูดฉาดเกินไป การตลาดก็มีน้อย การโฆษณาไม่มีมากนัก การโฆษณาจึงมีในกลุ่มบุคคลมากกว่า
การสื่อสารทางการออกแบบ – มีconcept ที่ตายตัวและเป็นเอกลักษณ์มานานกว่า40ปี ไม่ว่าจะทางด้านการออกแบบของตัวผลิตภัณฑ์ ที่เรียบง่าย รูปทรงไม่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยมากนัก มุ่งเน้นทางการใช้งานมากกว่าดีไซด์ที่เปลี่ยนไปตามความนิยม
วัสดุ – เป็นเนื้อผ้าที่มีความทนทานต่อการใช้งาน อยู่ทรงตามแบบที่ตัดเย็บ มีการใช้สีสันที่เรียบง่าย แต่มีการผสมผสานกันได้เหมาะสม ทั้งด้วยตัวเนื้อผ้า รูปทรง ที่ไม่เหมือนใคร และวิธีการผลิตที่พิถีพิถันมีการตัดเย็บให้แน่นหนาและคงทนต่ออายุการใช้งานในทุกๆด้าน ทุกเวลา ทุกสถานะการณ์

Desion – เรียบง่ายเข้ากับยุคสมัย และกลุ่มคน มีการออกแบบให้เหมาะสมแก่ ฤดูกาลต่างๆ  ทั้งสายอาชีพทั่วไป ทั้งแบบฟรอม์นักเรียน นักศึกษา และยังคงเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ เสมอ ทั้งด้วยตัวเนื้อผ้าที่ไม่เหมือนใคร
กรอบความคิด
1. What - ร้านเสื้อผ้าสไตน์ Hiphop รูปแบบเรียบง่าย
2. Who - กลุ่มบุคคล ทุกเพศทุกวัย
3. Where - ใช้ในการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน และทางอาชีพของแต่ละบุคคล
4. When - ทุกเวลาและวาระสำคัญต่างๆและการประกอบอาชีพ
5. How - สำหรับคนทำงานและทุกเพศ วัย ใส่ได้ทุกเวลาและทุกฤดูการ 
แนวทาง
Problem Identification
มีการติดตามว่ามีผู้ใช้สินค้าและต้องการสินค้ามากแค่ไหนเจาะลึกถึงหมู่ผู้ใช้ว่าพึงพอใจในสินค้าหรือไม สำรวจและติดตามได้จาก แบบสอบถาม ยอดขายจากสินค้า การติดต่อสอบถามของลูกค้า และบันทึกยอดขายสินค้านั้นๆ
Preliminary ideas
            เสื้อผ้าสไตน์ hiphop มีน้อยและแบรนด์ต่างๆก็มีน้อย แต่ผู้นิยมมีมาก และสินค้าก็มีราคาแพง จึงต้องสร้างแบรนด์ที่ติดหูคนทั่วไปและสินค้าต้องมีความคงทน แต่มีราคาที่ไม่แพงมากนัก
Design Refinement
            มีการปรับแต่งแบบและสี ให้ทันต่อยุคสมัย และฤดูกาล แต่ไม่ทิ้งเอกลักษณ์เดิม สามารถสวมใส่ได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ ให้เหมาะแกทุกเพศ ทุกวัย มีการเพิ่มจากเสื้อผ้าที่เน้นแต่ผู้ชาย มาเพื่อผู้หญิงมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับ ความคิดที่ว่า ทุกเพศ ทุกวัย
Design Analysis
            เมื่อมีการปรับแต่งแล้ว จึงต้องมาวิเคราะห์ต่อว่าแบบที่ออกมา เหมาะสมหรือเป็นที่น่าพอใจสำหรับลูกค้าหรือไม่ มีการติดตามผลสำรวจของสินค้าที่มีผู้นิยม และจึงนำเอามาเป็นความคิดที่เป็นหลักๆ มีการเปลี่ยนแปลงสินค้าเดิม แต่ไม่ทิ้งเอกลักษณ์เดิมออกไป
Design Decision
            มีการตัดสินใจว่า แบบของเสื้อผ้าจะเป็นอย่างไรตามที่ได้ปรับแต่งและวิเคราะห์แล้วเพื่อนำไปผลิตเป็นตัวอย่างก่อน นำไปโชว์ตามร้านเพื่อเป็นที่ติดตาของลูกค้าจากการสอบถามสินค้านั้น เมื่อได้ติดตามผลของสินค้าแล้วจึงผลิตเสื้อผ้าตามแบบ สไตน์ ที่ได้ออกแบบไว้
Implementation
            ขั้นตอนสุดท้ายคือการ นำแบบที่ได้ ไปผลิตเป็นสินค้าออกวางตลาด และมีการติดตามผลงานจากการซื้อสินค้าจากลูกค้า และยอดขายตลอดช่วงระยะเวลา และตลอดฤดูการ ว่ามีความพึงพอใจมากแค่ไหนกับสินค้าชินนี้ และได้มีการจัดโปรโมชั่นสำหรับสินค้า เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายสินค้าและความนิยมแก่ลูกค้า